แนวข้อสอบความรู้พื้นฐานกฎหมายทั่วไป
1. ตามรัฐธรรมนูญของประเทศไทย ฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบันประธานรัฐสภา คือ
ก. วุฒิสมาชิกผู้ที่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว
ข. ประธานสภาผู้แทนราษฎร
ค. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนหนึ่งซึ่งมาจากพรรคการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งขึ้นมามีเสียง
ข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร
ตอบ ข. ประธานสภาผู้แทนราษฎร
2. มักมีการกล่าวอยู่เสมอว่า “กฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์”ข้อใดสนับสนุนคำกล่าวนี้
ก. ประชาชนไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
ข. ผู้รักษากฎหมายไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
ค. ผู้รักษากฎหมายไม่ปฏิบัติตามกฎหมายด้วยความเที่ยงธรรม
ง. ต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายใหม่บางมาตรา
ตอบ ค. ผู้รักษากฎหมายไม่ปฏิบัติตามกฎหมายด้วยความเที่ยงธรรม
3. ในระหว่างที่บ้านเมืองเกิดการจลาจล และรัฐบาลต้องประกาศกฎอัยการศึก ผู้ใดกระทำความผิด
ในคดีอาญาอุกฉกรรจ์ จะต้องขึ้นศาลทหาร ซึ่งมีผลอย่างไร
ก. การตัดสินรวดเร็วแบบทหาร
ข. ผู้พิพากษาเป็นเจ้ากรมพระธรรมนูญทหาร
ค. โทษรุนแรงกว่าในเวลาปกติสองเท่า
ง. ไม่มีสิทธิ์ยื่นอุทธรณ์ฎีกาเหมือนเวลาปกติ
ตอบ ง. ไม่มีสิทธิ์ยื่นอุทธรณ์ฎีกาเหมือนเวลาปกติ
4. เมื่อบัตรประจำตัวของผู้ถือบัตรคนใดหมดอายุ ผู้ถือบัตรคนนั้นจะต้องขอมีบัตรใหม่ภายในกี่วัน
ก. 60 วัน ข. 90 วัน
ค. 120 วัน ง. กี่วันก็ได้
ตอบ ข. 90 วัน
5. นายเอกจ้างนายโทไปฆ่านายตรี นายโทฆ่านายตรีตาย นายเอกต้องรับโทษอย่างไร
ก. รับโทษมากกว่านายโท เพราะเป็นผู้ใช้
ข. รับโทษ 1 ใน 3 ของนายโท เพราะไม่ได้เป็นตัวการ
ค. รับโทษเท่ากับนายโท เพราะเป็นผู้ใช้รับโทษเสมือนเป็นตัวการ
ง. รับโทษน้อยกว่า นายโท เพราะเป็นผู้สนับสนุน
ตอบ ค. รับโทษเท่ากับนายโท เพราะเป็นผู้ใช้รับโทษเสมือนเป็นตัวการ
6. เหตุการณ์กรณีใดที่ใช้กฎหมายอาญาบังคับ
ก. แดง ผู้กู้ไม่ชำระเงินให้ดำ ตามข้อกำหนดในสัญญาเงินกู้
ข. หนึ่ง ไม่ประสงค์โดยตรงจะฆ่าสอง แต่ได้ยิงปืนเล็งไปในหมู่คนซึ่งโดยสารอยู่ในรถและกระสุนปืนถูกสองตาย
ค. เขียวเป็นนายจ้างต้องร่วมชดใช้ค่าสินไหมทดแทนร่วมกับนายเหลืองลูกจ้างซึ่งขับรถไปในทางที่จ้างชนนายแดงตาย
ง. หนึ่ง ซื้อปูนซีเมนต์จากสอง 50 กระสอบ แต่สองส่งมอบให้เพียง 30 กระสอบ หนึ่งจะฟ้องสองให้ปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายได้
ตอบ ข. หนึ่ง ไม่ประสงค์โดยตรงจะฆ่าสอง แต่ได้ยิงปืนเล็งไปในหมู่คนซึ่งโดยสารอยู่ในรถ
และกระสุนปืนถูกสองตาย
7. ข้อใดที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ในบริเวณเนื้อที่ของนาย ก. ซึ่งสร้างโรงงานอุตสาหกรรมไว้
ก. ต้นยางที่ขึ้นบริเวณโรงงาน
ข. กระแสไฟฟ้าที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม
ค. ต้นข้าวที่ครอบครัวนาย ก. ปลูกไว้สำหรับใช้บริโภคในแต่ละปี
ง. พลังงานน้ำตกที่นาย ก. นำมาใช้ในการปั่นกระแสไฟฟ้า
ตอบ ก. ต้นยางที่ขึ้นบริเวณโรงงาน
8. การที่รัฐออกกฎหมายยกเลิกสัมปทานป่าไม้ทั่วประเทศ เมื่อปี พ.ศ.2532 แสดงถึงความสำคัญ
ของกฎหมายในด้านใด
ก. เป็นสิ่งที่ช่วยปกป้องผลประโยชน์ของรัฐ
ข. ช่วยคุ้มครองในสิทธิและเสรีภาพของสมาชิกในสังคม
ค. เป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในสังคม
ง. เป็นแนวทางกำหนดความประพฤติของบุคคลในสังคม
ตอบ ก. เป็นสิ่งที่ช่วยปกป้องผลประโยชน์ของรัฐ
9. การกระทำอะไรดังต่อไปนี้เรียกว่า เป็นนิติกรรม
ก. มีผู้ทาบทามจะให้ซื้อที่ดิน
ข. บริจาคเงินให้แก่ผู้รับบริจาคทาน
ค. ได้รับหนังสือเตือนให้นำเงินภาษีไปชำระ ณ ที่ว่าการอำเภอ
ง. ทำพินัยกรรมให้ผู้รับมรดก
ตอบ ง. ทำพินัยกรรมให้ผู้รับมรดก
10. เมื่อมีคนเกิดภายในบ้าน เจ้าบ้านจะต้องไปแจ้งเกิดภายใน 15 วัน ณ สถานที่ใดและจะต้องนำ
หลักฐานอะไรไปด้วย
ก. สำนักงานสถิติแห่งชาติ – สูติบัตร
ข. สถานีตำรวจใกล้บ้าน – สำเนาทะเบียนบ้าน
ค. สำนักทะเบียนท้องถิ่น ณ ที่ว่าการอำเภอ – สำเนาทะเบียนบ้าน
ง. กำนันหรือผู้ใหญ่บ้าน – บัตรประจำตัวประชาชน
ตอบ ค. สำนักทะเบียนท้องถิ่น ณ ที่ว่าการอำเภอ – สำเนาทะเบียนบ้าน
ถาม - ตอบ
1. สิ่งส่งตรวจทางเคมีคลินิก (Clinical Chemistry Specimen) มีความสำคัญอย่างไร
ตอบ ในการตรวจวิเคราะห์ทางเคมีคลินิกเพื่อให้ได้ผลการตรวจที่ถูกต้องและเชื่อถือได้ การเก็บ(collection) การขนส่ง (transportation) และการเก็บรักษา (preservation) สิ่งส่งตรวจนับว่าเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญมาก เพราะถ้าค่าของสารเปลี่ยนแปลงไปก่อนทำการตรวจวิเคราะห์ (pre analytical error) ย่อมทำให้ผลการตรวจวิเคราะห์มีความผิดพลาดมาก และขาดคุณค่าในการนำไปใช้วินิจฉัยโรคหรือติดตามการรักษาโรค ซึ่งในที่นี้จะกล่าวถึงเทคนิค วิธีการและปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเก็บ การนำส่ง และการเก็บรักษาสิ่งส่งตรวจทางเคมีคลินิก เพื่อให้ค่าของสารในสิ่งส่งตรวจเปลี่ยนแปลงไปน้อยที่สุด
2. ชนิดของสิ่งส่งตรวจที่นิยมนำมาตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการเคมีคลินิก ได้แก่อะไรบ้าง
ตอบ สิ่งส่งตรวจ(specimen) ที่นิยมนำมาตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการเคมีคลินิกคือ
1. เลือดรวม ( whole blood)
2. ปัสสาวะ (Urine)
3. น้ำไขสันหลัง (celebro spinal fluid, C.S.F.)
4. น้ำไขข้อ (synovial fluid, S.F.)
5. Transudate และ exudate Transudate
3. เพราะเหตุใดเลือดดำจึงถูกนำมาวิเคราะห์หาค่าของสารต่างๆ มากกว่าเลือดแดง
ตอบ เลือดเป็นแหล่งรวมของสารอาหาร แร่ธาตุ และสารที่เกิดจากขบวนการเมแทบอลิซึมต่าง ๆ ในร่างกายที่มากที่สุด ดังนั้นจึงนิยมนำมาตรวจวัดการเปลี่ยนแปลงระดับของสารมากที่สุด ในทางทฤษฎีการดูความเปลี่ยนแปลงของสารในเลือดแดง (arterial blood) จะสะท้อนให้เห็นถึงสารอาหารต่างๆ ที่นำไปเลี้ยงเซลล์ ในขณะที่ค่าของสารในเลือดดำ(venous blood) สะท้อนให้เห็นปริมาณของสารอาหารที่เหลือหลังจากถูกเซลล์ต่าง ๆ ใช้ไปรวมกับของเสียที่ปล่อยออกมาจากเซลล์ แต่ในทางปฏิบัตินิยมดูการเปลี่ยนแปลงของสารในเลือดดำ เพราะการเจาะเส้นเลือดแดงค่อนข้างยาก และมีอันตรายจึงไม่นิยมใช้เลือดแดงเป็นตัวอย่างส่งตรวจ
1.1 เลือดดำ เป็นเลือดที่นิยมส่งตรวจวัดปริมาณสารทั่ว ๆ ไปทางเคมีคลินิกเพราะเจาะเลือดได้ง่าย เลือดดำถูกนำมาวิเคราะห์หาค่าของสารต่างๆ ใน 3 รูปแบบคือ
1.1.1 ใช้เลือดดำรวมทำการวิเคราะห์หาค่าของสาร ตัวอย่างเช่น การตรวจกรอง(screening test) หาอัลกอฮอล์หรือไซยาไนด์ ส่วนการวิเคราะห์หาปริมาณสารอื่นๆ ที่ต้องการความถูกต้องแม่นยำสูงไม่นิยมใช้ เพราะในเลือดดำรวมมีสารรบกวนมากทำให้การวิเคราะห์ผิดพลาดได้ง่าย ยกเว้นในกรณีที่ต้องการวิเคราะห์สารที่มีอยู่ในเม็ดเลือดแดงหรือจับกับเม็ดเลือดแดงตัวอย่างเช่น การตรวจวัดปริมาณสารตะกั่ว เป็นต้น
1.1.2 ใช้ซีรัม (serum) เป็นสิ่งส่งตรวจที่ได้จากการปล่อยให้เลือดรวมแข็งตัวที่อุณหภูมิห้องนาน 10-20 นาที แล้วจึงนำไปปั่นแยกเม็ดเลือดแดงออกที่ความเร็วรอบประมาณ 3,000 rpm นาน 10-15 นาที หลังจากนั้นจึงดูดเอาซีรัมชั้นบนไปทำการวิเคราะห์ เก็บไว้เพื่อรอการวิเคราะห์ หรือเพื่อส่งตรวจวิเคราะห์ต่อไป การแยกซีรัมออกจากเม็ดเลือดแดงจะช่วยให้ค่าของสารต่าง ๆ ในซีรัมไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากการแลกเปลี่ยนของสารระหว่างซีรัมและเม็ดเลือดแดง และในกรณีที่เก็บเลือดรวมไว้นานเกินกว่า 24 ชั่วโมงมักจะพบว่าผนังเซลล์เม็ดเลือดแดงเริ่มเสื่อมสภาพทำให้สารต่าง ๆ ในเม็ดเลือดแดงรั่วออกมาสู่ซีรัมมากขึ้น
1.1.3 ใช้พลาสมา (plasma) ซึ่งได้จาการปั่นแยกเลือดรวมที่ใส่สารกันเลือดแข็งพลาสม่ามีลักษณะคล้ายซีรัมแต่ต่างกันตรงที่ในซีรัมจะมีสารบางอย่างหายไป ตัวอย่างเช่น แฟกเตอร์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือด รวมทั้งสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการแข็งตัวของเลือด ฯลฯ. จึงทำให้สารบางชนิดมีค่าเท่ากัน แต่สารบางชนิดมีค่าแตกต่างกัน จากตัวอย่างในตารางที่ 1 จะเห็นได้ว่าในการตรวจวัดปริมาณ bilirubin, cholesterol และ creatinine สามารถใช้สิ่งส่งตรวจที่เป็นซีรัมหรือพลาสมา แต่ถ้าตรวจวัดปริมาณ total protein ในซีรัมจะได้ค่าน้อยกว่าในพลาสมา
4. กรณีใดบ้างที่จำเป็นต้องใช้ตัวอย่างที่เป็นเลือดจากเส้นเลือดแดง อธิบายพร้อมยกตัวอย่าง
ตอบ เลือดแดง ในบางกรณีมีความจำเป็นต้องใช้ตัวอย่างที่เป็นเลือดจากเส้นเลือดแดง ตัวอย่างเช่น การตรวจวัดปริมาณก๊าซในเลือด(blood gas analysis) เพราะถ้าใช้เลือดดำจะได้ค่าที่ไม่สะท้อนค่าจริงเลือดที่ไปเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย ตัวอย่างเช่น ค่าพีเอช ค่าปริมาณก๊าซออกซิเจนหรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของเลือด เนื่องจากเลือดดำเป็นเลือดที่สารอาหารถูกใช้ไป และรับเอาของเสียจากเซลล์ต่างๆ ไว้เป็นจำนวนมาก
5. ปัสสาวะที่ใช้ในการตรวจวิเคราะห์ทางเคมีคลินิกอาจแบ่งออกเป็น กี่ลักษณะได้แก่อะไรบ้าง
ตอบ ปัสสาวะ (Urine) เป็นสิ่งส่งตรวจที่นิยมส่งตรวจวิเคราะห์มาก รองจากการตรวจในเลือด เนื่องจากเก็บตัวอย่างได้ง่าย และสามารถช่วยในการวินิจฉัยโรคต่าง ๆ ได้หลายโรคปัสสาวะที่ใช้ในการตรวจวิเคราะห์ทางเคมีคลินิกอาจแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือ
2.1 Random urine เป็นปัสสาวะที่เก็บแบบสุ่ม ณ เวลาใด ๆ ก็ได้ ซึ่งมีคุณค่าในการตรวจทางเคมีคลินิกค่อนข้างน้อย เพราะปริมาณของสารต่าง ๆ ในปัสสาวะเปลี่ยนแปลงค่อนข้างเร็ว ในแต่ละช่วงเวลาของวัน แต่อย่างไรก็ตามได้มีความพยายามแก้ไขความความแปรปรวนของสารต่าง ๆ โดยการหาค่าของสารเทียบกับความเข้มข้นของ creatinine ในปัสสาวะซึ่งพบว่าสารบางอย่างมีความสัมพันธ์กันดีกับการหาค่าจากปัสสาวะ 24 ชั่วโมงตัวอย่างเช่น อัตราส่วนของ albumin/creatinine ใน random urine มีความสัมพันธ์เป็นอย่างดีกับปริมาณ total protein ในปัสสาวะ 24 ชั่วโมง ดังนั้นจึงสามารถใช้ตรวจการมีโปรตีนในปัสสาวะ(proteinuria) ด้วยการใช้ random urine แทนปัสสาวะ 24 ชั่วโมง
2.2 Timed urine เป็นปัสสาวะที่เก็บตามเวลาที่กำหนดตัวอย่างเช่น 1 ชั่วโมง 2 ชั่วโมง 4 ชั่วโมง หรือ 24 ชั่วโมง ตัวอย่างเช่น การเก็บปัสสาวะตรวจวิเคราะห์น้ำตาลทุกชั่วโมงสำหรับการทำ glucose tolerance test หรือการเก็บปัสสาวะ 24 ชั่วโมงสำหรับการทดสอบการทำงานของไต ตัวอย่างเช่น การหาค่า creatinine clearance
6. น้ำไขสันหลัง (celebro spinal fluid, C.S.F.) ช่วยวินิจฉัยโรคอะไรบ้าง
ตอบ เป็นสิ่งส่งตรวจที่ได้จาก central cannal ของไขสันหลังและ subarachnoid space ของสมอง และยังเกิดจากการกรองเลือดผ่าน bloodbrain barrier ของระบบประสาทส่วนกลาง และ endothelia cell ของเส้นเลือดฝอย ดังนั้นน้ำไขสันหลังจึงมีเฉพาะสารที่มีโมเลกุลเล็ก ๆ ที่มีความเข้มข้นใกล้เคียงกับพลาสมา แต่ในภาวะที่สมองมีการอักเสบหรือมีการติดเชื้อจึงอาจพบสารโมเลกุลใหญ่ ๆ เช่น โปรตีนมีปริมาณสูงขึ้นดังนั้นจึงนิยมส่งน้ำไขสันหลังตรวจวัดปริมาณโปรตีนและน้ำตาล เพื่อช่วยวินิจฉัยโรคสมองอักเสบ
7. น้ำไขข้อ (synovial fluid, S.F.) นิยมส่งตรวจหาโรคชนิดใด
ตอบ เป็นของเหลวที่เกิดจากการกรองพลาสมาผ่าน synovial membrane บริเวณข้อต่อของกระดูก มีความเข้มข้นของสารโมเลกุลเล็กใกล้เคียงกับในพลาสมา แต่มีโปรตีนสูงกว่า เพราะ synovial membrane สามารถสร้างโปรตีนที่เป็น hyaluronate complex ได้ นิยมส่งตรวจวัดปริมาณกรดยูริก (uric acid) เพื่อวินิจฉัยโรคเก๊าท์ (gout)
8. ปัจจัยที่ทำให้ค่าของสารในสิ่งส่งตรวจเปลี่ยนแปลงไปก่อนนำมาตรวจวิเคราะห์ ได้แก่อะไรบ้าง
ตอบ มีดังนี้
1. การรับประทานอาหาร อาหารจะทำให้ปริมาณของสารในซีรัมหลายชนิดสูงขึ้นในระยะเวลา สั้น ๆ หลังรับประทานอาหารโดยเฉพาะน้ำตาลกลูโคส ธาตุเหล็ก alkaline Phosphatase และ total lipid แต่อาหารบางชนิดที่มีโปรตีนมากจะทำให้ค่า urea nitrogen และ uric acid มีค่าสูงขึ้นเล็กน้อยหลังรับประทานอาหารนานถึง 12 ชั่วโมง อาหารที่มีเปคติน (pectin) หรือไฟเบอร์มากจะช่วยลดระดับไขมันในเลือด นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ที่รับประทานแต่ผัก (vegetarians) มีค่า triglyceride ในเลือดต่ำกว่าผู้ที่รับประทานทั้งเนื้อและผัก (nonvegetarians) การลดอิทธิพลที่มาจากอาหารบางส่วนสามารถแก้ไขได้โดยการเจาะเลือดหลังจากให้อดอาหารอย่างน้อย 6-12 ชั่วโมง(fasting blood)
2. เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนได้แก่กาแฟ ชา และโคลา พบว่าจะกระตุ้น adrenal medulla และ adrenal cortex ทำให้เพิ่มระดับ cortisol, 11-hydroxycorticoids และ 5-hydroxy indole acetic acid และกลูโคสในพลาสมา (impairment of glucose tolerance)
3. การสูบบุหรี่ จากการศึกษาในผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำพบว่านิโคติน (nicotine) ทำให้ค่าของสารต่าง ๆ ในเลือดเปลี่ยนแปลงในทางที่สูงขึ้นหรือต่ำลง สารที่มีค่าสูงขึ้นได้แก่ β–lipoprotein cholesterol, triglyceride, free fatty acid, 11-hydroxycorticosteroids, cortisol,glucose ฯลฯ ส่วนค่าของสารที่มีค่าต่ำกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ได้แก่ HDL-cholesterol, protein,uric acid, vitamin B12 ฯลฯ
4. การดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มเครื่องที่มีแอลกอฮอล์เล็กน้อย พบว่าไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงค่าของสารในพลาสมา แต่ถ้าดื่มในปริมาณมากหรือดื่มจนติดเรื้อรังพบว่าจะทำให้ค่าของสารหลายชนิดสูงขึ้นเช่น triglyceride, gamma-glutamyl-transferase, isocitratedehydrogenase
5. ยา (drug administration) ยาเป็นสารเคมีที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ซึ่งนอกจากจะสามารถรบกวนปฏิกิริยาเคมีที่ใช้ตรวจวิเคราะห์สารต่าง ๆ แล้วยังมีผลต่อแมเทบอลิซึม (metabolism) ที่ทำให้ค่าของสารต่างเปลี่ยนแปลงไป ตัวอย่างเช่น ยาขับปัสสาวะ (diureticdrug) จะลดปริมาณโซเดียมและโปแตสเซียมในซีรัม และยา Thiazide จะเพิ่มปริมาณกรดยูริกเนื่องจากไปลดปริมาณการไหลของเลือดที่จะกรองผ่านไต ในทางปฏิบัติถ้าเป็นไปได้ควรงดการรับประทานยาที่จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงค่าของสารอย่างน้อย 3 วัน และผู้ทำการตรวจวิเคราะห์ควรศึกษาวิธีการตรวจวิเคราะห์แต่ละวิธีว่ามียาตัวใดที่จะรบกวนการตรวจวิเคราะห์บ้างเพื่อหาทางแก้ไขการรบกวนจากยาแต่ละชนิดให้ถูกต้อง
6. สภาวะของร่างกาย มีหลายกรณีที่ร่างกายไม่อยู่ในสภาวะปกติทำให้ค่าของสารเปลี่ยนแปลงไปตัวอย่างเช่น การเป็นไข้พบว่าค่าของโซเดียม คลอไรด์ และแคลเซียมมีแนวโน้มลดลง แต่ค่ายูเรียไนโตรเจนและกรดยูริกมีค่าสูงขึ้น ในกรณีที่ได้รับเลือด (blood transfusion) ระดับโปแตสเซียมในซีรัมอาจสูงขึ้น หรือถ้าได้รับสารละลายกลูโคส (glucose infusion) ระดับฟอสเฟตและโปแตสเซียมในพลาสมาจะลดลง เนื่องจากเข้าสู่เม็ดเลือดแดงพร้อมกลูโคส ในกรณีหลังผ่าตัดพบว่ามีเอนไซม์หลายชนิดมีค่าสูงขึ้นตัวอย่างเช่น creatinine kinase ,aspartate aminotransferase, alpha hydroxybutyrate dehydrogenase
7. อายุ โดยปกติค่าของสารต่าง ๆ ในเลือดจะเปลี่ยนแปลงค่อนข้างเร็วในวัยเด็กและวัยหนุ่มสาวเนื่องจากระดับฮอร์โมนยังไม่คงที่ เมื่อเป็นผู้ใหญ่ค่าของสารต่าง ๆ ในร่างกายค่อนข้างจะคงที่ แต่ภายหลังอายุ 29 ปีพบว่าคนจะเกิดความแก่ทางสรีรวิทยา (physiological aging) ทำให้ค่าของสารต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปตามช่วงอายุต่าง ๆ สารที่พบว่ามีแนวโน้มลดลงตามอายุที่มากขึ้นคือ albumin, calcium, phosphorous, total protein ฯลฯ แต่สารที่มีแนวโน้มสูงขึ้นตามอายุได้แก่ alkaline phosphatase, alanine aminotransferase, aspartate aminotransferase,cholesterol, glucose, urea nitrogen, uric acid ฯลฯ 8. อิทธิพลของฤดูกาล (seasonal influence) ฤดูกาลที่เปลี่ยนไปจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงต่อคนทั้งในด้านการบริโภคอาหาร การออกกำลังกาย พฤติกรรมประจำวัน สภาพอากาศ ซึ่งส่งผลค่าของสารต่าง ๆ มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไป
9. เวลา (circadian variation) ในช่วงเวลาของแต่ละวันมนุษย์ได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงของท่าทาง การรับประทานอาหาร ความเครียด ความมืด ความสว่าง การนอนหลับพักผ่อน ฯลฯ ทำให้มีสารหลายชนิดมีการเปลี่ยนแปลงระดับ ตัวอย่างเช่น พบว่าระดับโปแตสเซียมในซีรัมมีค่า 5.4 mmol/L ที่เวลา 8.00 น. และมีค่าลดลงเป็น 4.3 mmol/L ที่เวลา14.00 น. เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบว่ามีสารอีกหลายชนิดที่มีความแตกต่างกันระหว่างช่วงเช้าและช่วงบ่ายค่อนข้างมากคือฟอสเฟส ธาตุเหล็ก alkaline phosphatase, acid phosphatase,aspartate aminotransferase, albumin และ urea nitrogen ดังนั้นเพื่อป้องกันอิทธิพลของเวลาจึงควรเก็บสิ่งส่งตรวจในเวลาที่ใกล้เคียงกันในแต่ละวัน
10. การออกกำลังกาย (exercise) จากการศึกษาพบว่าการออกกำลังกายจะทำให้สารหลายตัวในซีรัมมีค่าลดลง แต่ในขณะเดียวกันก็มีสารอีกหลายชนิดมีค่าเพิ่มขึ้นดังตารางที่ 3 ซึ่งเป็นค่าเปลี่ยนแปลงจากที่ให้ทดลองออกกำลังกายนาน 20 นาที และให้พัก 15 นาที จึงเจาะเลือดมาตรวจ
11. ท่าทาง (posture) การยืน การนั่ง การนอน และอิริยาบถต่าง ๆ ของร่างกายจะมีผลทำให้ความดันในเส้นเลือดดำ และเส้นเลือดแดงเปลี่ยนแปลง ทำให้มีการเพิ่มหรือลดปริมาณของเหลวในเส้นเลือดหรือช่องว่างระหว่างเซลล์ จากการศึกษาพบว่าการเปลี่ยนท่าทางจากการนอนมายืนจะทำให้ค่าของสารหลายชนิดในซีรัมเพิ่มขึ้น
9. ให้บอกเทคนิคการเจาะเลือด ตำแหน่งที่เจาะ ปริมาณเลือดที่ต้องการ อุปกรณ์ สารกันเลือดแข็ง และข้อ
ควรระวัง
ตอบ สิ่งที่ผู้เก็บตัวอย่างเลือดมีความจำเป็นต้องทราบก่อนลงมือปฏิบัติงาน คือ เทคนิคการเจาะเลือด ตำแหน่งที่เจาะ ปริมาณเลือดที่ต้องการ อุปกรณ์ สารกันเลือดแข็ง และข้อควรระวังต่าง ๆ ซึ่งจะกล่าวโดยสังเขปดังนี้
1. การเจาะเส้นเลือดดำ (venous puncture) เทคนิคการเจาะเลือด ควรใช้เทคนิคมาตรฐานที่ปฏิบัติกันทั่ว ๆ ไปโดยมีข้อควรปฏิบัติคือ
1.1 ควรให้ผู้ที่จะถูกกเจาะเลือดอดอาหารอย่างน้อย 6 ชั่วโมง และพักผ่อนให้สบายปราศจากความเครียดก่อนเจาะเลือดประมาณ 20 นาที
1.2 เส้นเลือดที่จะเจาะซึ่งปกติจะใช้เส้นเลือดบริเวณข้อพับแขนคือ mediancubital vein หรือ antecubital vein แต่ในคนที่อ้วนมากอาจเจาะเส้นเลือดที่บริเวณข้อมือแทน
1.3 เลือกใช้สารฆ่าเชื้อโรคที่เหมาะสมซึ่งโดยทั่วไปนิยมใช้ 70% แอลกอฮอล์ แต่ถ้าต้องการส่งตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดต้องใช้สารกันเลือดแข็งชนิดอื่น ตัวอย่างเช่น benzakonium chloride
1.4 เลือกใช้เข็มเจาะที่เหมาะสมซึ่งนิยมใช้เบอร์ 21 หรือเบอร์ 22
1.5 กรณีที่เจาะเลือดไม่ได้หลังจากใช้สายยางรัดต้นแขนเกินกว่า 3 นาที ให้คลายสายยางรัดแล้วจึงรัดเพื่อทำการเจาะเลือดใหม่
1.6 ควรเก็บตัวอย่างเลือดเลือดให้มีปริมาณพอเพียงต่อการทำการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ
1.7 เลือกใช้หลอดเก็บเลือดที่สะอาด
1.8 ควรถอดปลายเข็มออกจากไซริงก์ก่อนฉีดเลือดลงสู่หลอดเก็บเลือด และควรฉีดเลือดออกช้า ๆ เพื่อป้องกันเม็ดเลือดแดงแตก
1.9 ในกรณีที่เก็บตัวอย่างเลือดดำจากสายให้ของเหลวทางเส้นเลือดดำ(venouscatheter) ต้องปิด stopcock ก่อนเป็นเวลา 1-3 นาที เพื่อไม่ให้ของเหลวไหลลงมาจากถุงและให้ความเข้มข้นของสารต่าง ๆ ในเลือดมีการกระจายตัวสม่ำเสมอ ดูดเลือดผ่าน stopcock ออกมา 10 มล. แล้วฉีดทั้งไป แล้วจึงดูดเลือดเพื่อส่งตรวจวิเคราะห์ต่อไป ทั้งนี้เพื่อป้องกันเลือดที่จะส่งตรวจวิเคราะห์มีค่าของสารบางตัวสูงเกินไป เช่นน้ำตาลกลูโคส หรือสารบางตัวมีค่าลดลงเนื่องจากถูกเจือจางด้วยของเหลวที่ปล่อยสู่กระแสเลือด
1.10 ในกรณีที่ใช้หลอดดูดอากาศออก(evacuated tube) เก็บเลือดต้องใช้อุปกรณ์เจาะแบบพิเศษ(รูปที่ 1 ) โดยให้สวมเข็มติดกับตัวยึด(holder) และใส่หลอดเก็บเลือดเข้าไปในตัวยึดโดยให้ปลายเข็มแทงลงในจุกยางเล็กน้อย หลังจากที่แทงปลายเข็มอีกข้างหนึ่งเข้าสู่เส้นเลือดแล้วให้ดันหลอดเก็บเลือดเข้าไปอีกเล็กน้อยจนเข็มเจาะทะลุจุกหลอดเก็บเลือด เมื่อเลือดเริ่มไหลเข้าสู่หลอดเก็บเลือดให้คลายสายยางรัดแขนออก ความดันต่ำในหลอดเก็บเลือดจะทำให้เลือดไหลเข้าสู่หลอดเก็บเลือดเองจำนวน 3-15 มล. ขึ้นอยู่ปริมาตรอากาศที่ถูกดูดออกไปจากหลอดเก็บเลือด การเลือกใช้หลอดดูดอากาศออกต้องเลือกให้ตรงกับชนิดของการส่งตรวจ โดยดูจากสีของจุกซึ่งจะระบุรายละเอียดในตารางที่ 5 แต่มีข้อน่าสังเกตที่การตรวจวัดทางเคมีคลินิกนิยมใช้หลอดที่มีโพลีเมอร์เจลมากขึ้น เนื่องจากมีข้อดีที่เด่นชัดอย่างน้อย 4 ประการคือ
ประการแรก โพลีเมอร์เจลจะแยกเม็ดเล็ดแดงออกจากซีรัมได้ดีเพราะอาศัยการใช้เจลที่มีความถ่วงจำเพาะน้อยกว่าเม็ดเลือดแดงแต่มากกว่าความถ่วงจำเพาะของซีรัม ทำให้โอกาสในการฟุ้งกระจายของเม็ดเลือดแดงมีน้อย
ประการที่สอง หลังจากปั่นแยกซีรัมเสร็จไม่จำเป็นต้องดูดแยกซีรัม สามารถนำหลอดที่มีโพลีเมอร์เจลไปใส่ในเครื่องวิเคราะห์อัตโนมัติได้โดยตรง
ประการที่สาม สามารถเทซีรัมออกไปทำการวิเคราะห์อื่นๆ ได้โดยไม่ต้องใช้ capillary pipette ดูดแยกซีรัม (การเทแยกซีรัมต้องอาศัยความชำนาญและไม่ใช่วิธีมาตรฐาน) ประการที่สี่ หลอดโพลีเมอร์เจลที่เคลือบซิลิโคน(silicone) จะช่วยเร่งการแข็งตัวของเลือด ลดการเกาะของลิ่มเลือดที่ผนังหลอดเก็บเลือดและจุกปิดหลอด และช่วยลดการเกิด hemolysis
ส่วนข้อเสียในเชิงวิชาการเท่าที่มีรายงานคือพบว่าถ้าใช้ความแรง และเวลาในการปั่นแยกซีรัมไม่พอจะทำให้มีซีรัมตกค้างอยู่ใต้ชั้นเจล ซึ่งถ้าทิ้งไว้เป็นเวลาตั้งแต่ 12 ชั่วโมงขึ้นไปซีรัมส่วนนี้จะมีค่าโปแตสเซียมสูงขึ้นมาก ในขณะที่โซเดียมลดลงเช่นกัน และถ้านำหลอดโพลีเมอร์เจลนี้ไปปั่นซ้ำจะทำให้ซีรัมส่วนที่มีโปแตสเซียมมากลอยขึ้นมาปนกับซีรัมในชั้นบนเจลเป็นผลให้ตรวจวัดปริมาณโปแตสเซียมได้สูงกว่าความจริง แต่วัดโซเดียมได้ต่ำกว่าค่าจริง
2. การเจาะเส้นเลือดแดง(arterial puncture) การเจาะเลือดแดงนิยมเจาะจาก radialartery บริเวณข้อมือ brachial artery บริเวณข้อพับแขน หรือ femeral artery บริเวณข้อเท้าแต่เนื่องจากเส้นเลือดแดงมีความดันสูงและอยู่ลึกว่าเส้นเลือดดำ การเจาะเส้นเลือดแดงจึงต้องอาศัยแพทย์ที่มีความชำนาญ
3. การเจาะผิวหนัง(skin puncture) การเจาะผิวหนังเพื่อเก็บเลือดจากเส้นเลือดฝอยนิยมใช้ในกรณีที่ใช้เลือดจำนวนน้อยในการตรวจวิเคราะห์ ตัวอย่างเช่น การตรวจวัดน้ำตาลในเลือดหรือใช้ในกรณีเด็กทารกที่เจาะเส้นเลือดดำได้ยาก โดยตำแหน่งผิวหนังที่เจาะอาจเป็นปลายนิ้วกลางหรือนิ้วนาง ส้นเท้าด้านนอกทั้ง 2 ด้าน(รูปที่ 2) แต่เนื่องจากเลือดที่ปลายนิ้วเป็นเลือดจากเส้นเลือดฝอยที่เป็นส่วนผสมของเลือดดำและเลือดแดง ดังนั้นค่าที่ตรวจวิเคราะห์ได้จึงอาจแตกต่างจากค่าที่ตรวจวิเคราะห์ได้จากเลือดดำหรือเลือดแดง จากการศึกษาพบว่ากลูโคสและโปแตสเซียมในเส้นเลือดฝอยจะสูงกว่าค่าในเลือดดำร้อยละ 1.4 และ 0.9 ตามลำดับ และพบว่าค่าฟอสฟอรัสและยูเรียในโตรเจนไม่แตกต่างกัน แต่มีสารอีกหลายชนิดที่มีค่าต่ำกว่าในเลือดดำเช่น bilirubin (5%) calcium (4.6%) chloride (1.8%) sodium (2.3%) และ totalprotein (3.3%) สำหรับขอควรระวังในการเจาะผิวหนัง
3.1 ควรนวดบริเวณผิวหนังที่จะเจาะก่อนเพื่อให้เลือดไหลออกได้ดี
3.2 เลือกใช้สารฆ่าเชื้อที่เหมาะสมและไม่รบกวนการตรวจวิเคราะห์
3.3 ควรปล่อยให้สารฆ่าเชื้อแห้งสนิทก่อนเจาะผิวหนังด้วยใบมีดเจาะ(lancet blade)
3.4 ควรเช็ดหยดเลือดที่ออกมาครั้งแรกทิ้งเพราะอาจมีเนื้อเยื่อและสิ่งปกปรกอื่นปนอยู่มาก
3.5 ควรปล่อยเลือดให้ไหลเข้าสู่หลอดเก็บเลือดเองอย่างอิสระ ไม่ควรบีบเค้นเลือดอย่างรุนแรงเพราะจะทำให้ของเหลวจากเนื้อเยื่อไหลปะปนเข้ามาทำให้ตรวจวัดปริมาณสารได้ต่ำกว่าความเป็นจริง
4. สารกันเลือดแข็ง โดยทั่วไปการวิเคราะห์จะนำซีรัมโดยการปล่อยให้เลือดแข็งตัวที่อุณหภูมิห้องนาน 15-30 นาทีเพื่อให้การแข็งตัวสมบูรณ์ ก่อนนำไปปั่นแยกด้วยเครื่องหมุนเหวี่ยง ในบางกรณีที่รีบนำไปปั่นแยกเอาซีรัมโดยที่การแข็งตัวของเลือดไม่สมบูรณ์ เมื่อตั้งซีรัมทิ้งไว้อาจเกิดก้อนไฟบรินในภายหลังซึ่งอาจจะทำให้ sample probe ของเครื่องวิเคราะห์อัตโนมัติอุดตัน แต่อย่างไรก็ตามในการตรวจวิเคราะห์บางชนิดจำเป็นต้องใช้พลาสมา ดังนั้นจึงต้องเลือกใช้สารกันเลือดแข็งให้ถูกต้องในปริมาณที่เหมาะสม ซึ่งสารกันเลือดแข็ง
5. อุปกรณ์ใส่เลือด อาจทำด้วยแก้วหรือพลาสติก โดยอุปกรณ์ใส่เลือดที่ทำจากพลาสติกมีข้อดีตรงที่แตกยาก มีน้ำหนักเบา มีราคาถูกกว่า และมักไม่มีไอออนเจือปน แต่มีข้อเสียตรงที่ล้างทำความสะอาดยาก ผิวมีรูพรุนทำให้ก๊าซซึมผ่านได้ และอาจมีไอออนบางส่วน เช่น Ca2+ ถูกดูดซับที่ผิวพลาสติก ส่วนชนิดที่ทำด้วยแก้วมีคุณสมบัติตรงกันข้ามกับพลาสติกส่วนรูปแบบอุปกรณ์เก็บเลือดที่นิยมใช้พบในหลายลักษณะคือ
5.1 หลอดทดลอง(test tube)
5.2 หลอดทดลองขนาดเล็ก (microtube)
5.3 หลอดปั่นเหวี่ยงขนาดเล็ก (microcentrifuge tube)
5.4 หลอดแคพิลลารีทิวบ์(capillary tube)
6. การเก็บรักษาสิ่งส่งตรวจ เพื่อเป็นการรักษาค่าของสารในซีรัมไม่ให้เปลี่ยนแปลงไปก่อนการวิเคราะห์ จึงควรแยกซีรัมออกจากเม็ดเลือดแดงภายในเวลา 2 ชั่วโมง และถ้าไม่สามารถตรวจวิเคราะห์ได้ในทันทีควรเก็บรักษาโดยเติมสารเคมีหรือเก็บที่อุณหภูมิต่ำ และควรปิดปากหลอดให้สนิทเพื่อกันน้ำระเหยออกจากสิ่งส่งตรวจ
7. Hemolysis การแตกของเม็ดเลือดแดงจะทำให้เฮโมโกลบิน ซึ่งมีสีแดงถูกปล่อยออกมาในซีรัม ซึ่งถ้ามีค่ามากกว่า 20 mg/dl จะรบกวนการวัดค่าการดูดกลืนแสงทำให้ผลการตรวจวิเคราะห์ผิดพลาด นอกจากนี้การแตกของเฮโมโกลบินยังทำให้ค่าของสารในซีรัมหรือในพลาสมาเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารที่มีมากในเม็ดเลือดแดงคือ phosphate, lactatedehydrogenase และโปแตสเซียม ฯลฯ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการเกิด hemolysis โดยใช้เข็มที่มีขนาดเหมาะสม ฉีดเลือดออกจากไซริงก์ (syringe) ช้า ๆ ไม่ควรปั่นแยกซีรัมหรือพลาสมาด้วยความเร็วรอบที่สูงเกิน (ปกติใช้ความแรง 1,200-1,500 g นาน 10 นาที)
8. การอุดตันในเส้นเลือดดำ (venous occlusion) ในการใช้สายรัด (tourniquet) เหนือข้อศอกในการเจาะเก็บเลือดดำบางครั้งอาจรัดนานจนทำให้การไหลกลับของเลือดดำเข้าสู่หัวใจถูกขัดขวางจนเกิดแรงดันในเส้นเลือดสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้น้ำและสารโมเลกุลเล็ก ๆ ซึมออกจากเส้นเลือดดำทำให้ค่าของสารเปลี่ยนไป จากการทดลองรัดสายรัดนาน 1-3 นาทีพบว่าค่าโปแตสเซียมลดลง ในขณะที่สารโมเลกุลใหญ่มีค่าสูงขึ้นดังตารางที่7 ดังนั้นเพื่อป้องกันความผิดพลาดดังกล่าวจึงควรคลายสายรัดเป็นช่วง ๆ
10. ในการตรวจวิเคราะห์ปัสสาวะผู้ที่เก็บควรต้องมีความรู้เรื่องใดบ้าง
ตอบ การตรวจวิเคราะห์ทางเคมีคลินิกโดยทั่วไปไม่ต้องการปัสสาวะที่ปราศจากเชื้อโรค แต่ควรเป็นปัสสาวะที่เก็บใหม่ ๆ หรือเป็นปัสสาวะที่เก็บรักษาค่าของสารต่าง ๆ ให้คงที่ได้ดีปัจจุบันนิยมใช้เฉพาะ timed urine ไม่นิยมใช้ random urine เพราะมีคุณประโยชน์ในการวินิจฉัยโรคน้อย ซึ่งผู้ที่เก็บควรต้องทราบถึงสิ่งต่อไปนี้
1. การเก็บปัสสาวะแบบสุ่ม(random urine collection) เป็นการเก็บปัสสาวะแบบสุ่มที่ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ซึ่งค่าของสารในปัสสาวะมักจะเปลี่ยนแปลงได้ง่าย
2. การเก็บปัสสาวะแบบกำหนดเวลา(timed urine collection) มีสิ่งที่ควรทราบคือ
2.1 ต้องเลือกใช้ภาชนะเก็บที่สะอาดและมีขนาดพอเพียงที่จะบรรจุปัสสาวะ
2.2 เลือกใช้ชนิดสารกันเสียที่ถูกต้องในปริมาณที่พอเพียง
2.3 ควบคุมการเก็บปัสสาวะให้ตรงเวลาและครบปริมาตร
2.4 ในกรณีที่เก็บปัสสาวะ 24 ชั่วโมง ต้องให้ปัสสาวะทิ้งก่อนเริ่มจับเวลา แล้วจึงเก็บปัสสาวะไปเรื่อย ๆ จนครบเวลา 24 ชั่วโมงจึงให้ปัสสาวะเป็นครั้งสุดท้าย
2.5 ใช้ภาชนะเก็บที่สะอาด โดยอาจเป็นขวดแก้ว หรือขวดพลาสติกที่ล้างสะอาด และถ้าเป็นการตรวจวิเคราะห์สารที่ไวต่อแสง ตัวอย่างเช่น bilirubin ต้องเก็บในขวดสีชาหรือขวดพลาสติกทึบแสง และควรติดฉลากระบุชื่อผู้ป่วย วัน เวลาที่เก็บ และข้อควรระวังอื่น ๆ ติดไว้ให้ชัดเจน
3. การเก็บรักษาปัสสาวะ (urine preservation) อาจใช้วิธีการเก็บรักษาที่อุณหภูมิต่ำหรือเติมสารเคมีลงในปัสสาวะ
3. การทำให้เป็นเนื้อเดียวกัน ในกรณีที่ต้องเก็บปัสสาวะใส่หลายขวด เมื่อส่งมาถึงห้องปฏิบัติการ ให้บุลากรของห้องปฏิบัติการเทปัสสาวะทั้งหมดรวมกันในภาชนะขนาดใหญ่และผสมให้เข้ากัน แล้ววัดปริมาตรที่แน่นอนด้วยกระบอกตวง ก่อนนำไปตรวจวิเคราะห์หาปริมาณสารต่าง ๆ ในบางกรณีปัสสาวะมีหลายขวดและแต่ละขวดมีปริมาตรมากไม่สามารถหาภาชนะขนาดใหญ่มาผสมได้ ให้ใช้วิธีดูดปัสสาวะมาตามสัดส่วนของปริมาตรที่มีในแต่ละขวดมาผสมกัน
#รวมข้อสอบที่ออกบ่อยๆ รวบรวมโดยอาจารย์ของสถาบัน
#เจาะลึกครอบคุมตรงประเด็น เนื้อหาสาระสำคัญ ข่าวสารทันโลก
#จำหน่ายแนวข้อสอบมานานกว่า 10 ปี การรันตีจากผู้สอบติดมากมาย
#รวมหนังสือหรือไฟล์ เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลาไปนั่งติว
แนวข้อสอบมี 2 รูปแบบ
1.แบบที่ 1 รอรับได้เลย ราคาเพียง 399 บาท (รอรับ 1-2 ชม หลังโอน)
2.แบบที่ 2 หนังสือ **ฟรี MP3** ราคา 699 บาท (ส่งฟรีขนส่งเอกชน)
ติดต่อสอบถาม/สั่งซื้อแนวข้อสอบ
Line ID : Panisara_test หรือคลิ๊กสั่งซื้อทันที
ชำระค่าสินค้าและบริการ
-ธ.กรุงไทย เลขที่บัญชี 983-0-97701-3
-ธ.กสิกรไทย เลขที่บัญชี 549-2-17930-4
(ชื่อบัญชี ปาณิสรา พระกาย ออมทรัพย์ สาขามหาวิทยาลัยขอนแก่น)